อย่างแรกที่นึกได้เมื่อพูดถึงความรักครั้งนี้คือวลีที่ว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” จริงอยู่ที่ฉันได้เรียนรู้บทเรียนจากความรักทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ แต่ก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า คนอื่นคือปัญหา หรือ ฉันคือปัญหาซะเอง
ตอนนั้นฉันลำบากใจอยู่ไม่น้อย อย่างแรกคือฉันมีแฟนที่อายุน้อยกว่าตัวเองเกือบ 2 ปี ฉันอึดอัดใจอยู่เล็กๆ เหมือนกันเพราะเค้าอายุเท่ากับน้องชายของฉัน (จริงๆ แล้วฉันควรจะดีใจซิเพราะการกินเด็กคือยาอายุวัฒนะ 555) อย่างที่สองคือฉันหักหลังเพื่อนตัวเองโดยการแย่งผู้ชายที่เพื่อนแอบชอบ ก็เพราะความรักมันคือสนามรบเวลาความหลงมาบดบังตาก็เริ่มพล่ามัว
ฉันไม่ได้ต้องการจะแก้ตัวอะไรทั้งนั้นเพียงแค่อยากจะบอกกับคุณว่า ฉันถามตัวเองก่อนตัดสินใจ เลือกแฟนและเสียเพื่อน คำตอบที่ได้ก็คือเค้าสองคนไม่ได้คบกัน ถึงแม้พวกเค้าจะเจอกันก่อนเพราะเข้าเรียนในระดับปริญญาโทก่อนฉัน 1 ปี แต่เพื่อนของฉันก็เป็นแค่เพียงรักข้างเดียว สำหรับฉันกับเขาเรารักกัน (ฉันคิดในตอนนั้นนะ) โอเค! ความรักครั้งที่สองทำให้ฉันตระหนักถึง กฎแห่งกรรม และเมื่อเราเริ่มรู้สึกตัวว่า “ทำผิด” ความจริงที่จะช่วยทำให้ตาสว่างก็เริ่มทำงานแบบติดจรวดทันที
เค้าเที่ยวแนะนำฉันให้ใครต่อใครรู้จักรวมถึงแม่และเพื่อนๆ ของเค้า ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ว่าเราคบกันยิ่งทำให้ฉันคิดว่าคนนี้คือ “คนที่ใช่” ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ต่อมามันกลับกลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับการ คิดเองเออเอง เพราะหลังจากนั้นต่อมาไม่นานฉันต้องไปฝึกงานที่ต่างประเทศประมาณ 4 เดือน จึงทำให้เราห่างกันมีทางติดต่อกันแค่เพียงทางเดียวคือ MSN (โปรแกรมแชทยอดฮิตเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว) ความงี่เง่าง้องแง้งของฉันเริ่มต้นที่จุดนี้!
การที่ต้องอยู่ต่างแดนและพยายามทำโปรเจกต์แบบงงๆ มันมีทั้งความสนุก ตื่นเต้น สับสน ไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจหลายอย่างปนเปกันแต่ฉันไม่สามารถคุยกับแฟนของตัวเองได้ คนที่ฉันคิดว่าเป็นทั้งเพื่อนทั้งแฟนคนที่ควรรับฟังปัญหาและช่วยเหลือกันกลับไม่ค่อยมีเวลาให้จนทำให้ฉันคิดว่าเค้ากำลังมีใจให้คนอื่น และเมื่อเวลาที่เราจะได้คุยกันน้อยลงเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มน้อยใจ
เมื่อคนสองคนเริ่มเอาแต่ใจตัวเอง ไม่รับฟัง และไม่พยายามปรับจูนความเข้าใจและความต้องการของกันและกันปัญหาก็ยิ่งบานปลาย ฉันพยายามเรียกร้องความสนใจต่างๆ นาๆ และทำในสิ่งที่ไม่ควรทำหลายอย่าง ฉันโทรหาแม่ของเค้า โทรหาเพื่อนของเค้า โทรหาเพื่อนร่วมงานของเค้า และเราก็เลิกกันหลังจากนั้นต่อมาไม่กี่เดือนทุกอย่างจบสิ้น ความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ และความทรมานอย่างที่สุดมันทำให้ฉันเสียศูนย์ ร้องไห้ฟูมฟาย เบื่ออาหาร ทำทรงผมแปลกประหลาด และไม่เหลือใครอีกแล้วทั้งเพื่อนทั้งแฟน
แน่นอน! ตอนนั้นฉันคิดว่าทั้งหมดนี้คือบทลงโทษจากสวรรค์ แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดีหล่ะ สิ่งแรกที่ฉันทำหลังจากคิดได้คือการขอโทษเพื่อนสาวเราปรับความเข้าใจและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่างที่สองฉันบอกกับตัวเองว่าฉันใช้เวลามากพอแล้วกับการเรียนปริญญาโทนี่มันปาเข้าไปเป็นปีที่ 3 แล้ว ถ้าฉันไม่อยากได้ใบปริญญาก็หยุดอยู่แค่นี้
ฉันฮึดสู้และพยายามทำวิทยานิพนธ์เสร็จได้ภายในปีที่ 4 ไม่ว่ามันจะเป็นเคราะห์ร้ายวัยเบญจเพสหรืออะไรก็ตามแต่ฉันก็เอาชีวิตรอดมาได้ เมื่อมองย้อนกลับไปดูบทเรียนที่ผ่านมามันทำให้ฉันเข้าใจ เติบโต และแข็งแกร่งขึ้น ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของคนในรูปแบบต่างๆ และที่สำคัญมันทำให้ฉันมีภูมิคุ้มกันในเรื่องความรักและความสัมพันธ์มากขึ้น
บทเรียนที่ได้ : จงเปลี่ยนจากความคาดหวังในตัวคนอื่นมาเป็นความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง เพราะมันคือทั้งหมดที่คุณมีและไม่มีใครเอามันไปจากคุณได้ (ถ้าคุณไม่ยอม)
04-07-2021