หลังจากทำงานที่แรกได้ไม่นานฉันก็ได้งานที่สอง ตอนนั้นฉันกำลังมุ่งมั่นตั้งใจสร้างผลงานให้กับตัวเองแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเราเริ่มมีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเองมันมักจะมีบททดสอบเข้ามาท้าทายและตั้งคำถามกับเราซึ่งๆ หน้าว่า “จริงเหรอ?”
ความรักครั้งที่สองของฉันเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว จริงๆ แล้วฉันไม่แน่ใจและไม่กล้าพูดได้ชัดเจนเต็มปากด้วยซ้ำว่าเราเป็นแฟนกัน เพราะเค้าเป็นแฟนของเพื่อนฉัน ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าตัวเองได้ เจอคนที่ใช่ในเวลาที่ไม่ใช่ คุณคงเข้าใจความรู้สึกของฉันเป็นอย่างดี พวกเราคุยกันถูกคอและคุยโทรศัพท์กันได้เป็นชั่วโมงเหมือนเค้ารู้จักและเข้าใจฉันแบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ฉันรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ฉันรู้สึกว่าเราชอบอะไรคล้ายๆ กันทั้งแนวเพลงและหนังสือจนทำให้ฉันคิดว่าได้ เจออีกครึ่งหนึ่งที่หายไป
เราแอบคบกันอยู่พักหนึ่งความรู้สึกของฉันในตอนนั้นเหมือนสามวันดีสี่วันร้ายเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แต่ฉันก็ยังคงหลอกตัวเองว่าเรานั้นเหมาะสมกันเพราะเราต่างต้องการซึ่งกันและกัน ฉันเข้าใจจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นอย่างดีแต่ใครจะอยากเป็นที่สองในเมื่อคุณสามารถที่จะพยายามให้มากกว่านี้เพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่ง ต่อมาฉันเริ่มบอกให้เค้าเลิกกับอีกฝ่ายและมีฉันเพียงคนเดียว ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้คุณคงด่าฉันต่างๆ นาๆ ฉันเข้าใจนะ และฉันรู้ว่าในตอนนั้นฉันสมควรที่จะถูกด่าอยู่หรอกเผื่อว่าจะได้ช่วยเตือนสติให้ฉันตื่นจากการ “หลอกตัวเอง”
ทุกอย่างมันมีเวลาของมันทุกอย่างมีจุดจบเสมอและความรักแบบ รักไปเจ็บไป ก็เช่นกัน การหนีปัญหาคือทางออกที่ดี ตอนนั้นฉันมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและอยากหนีไปสักพักจึงตัดสินใจออกจากงานหวังว่าจะหลุดพ้นจากความวุ่นวายและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันว่างงานจึงไปอาศัยอยู่กับญาติที่ต่างประเทศระยะหนึ่งแต่สุดท้ายเราก็ยังคงติดต่อกันอยู่ดีเพราะเค้ามักจะตามหาฉันเจอเสมอและเรายังไม่สามารถตัดขาดจากกันได้จริงๆ แม้กระทั่งตอนที่ฉันกลับมาที่ไทยและตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเราก็ยังคงนัดเจอกันบ้าง
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันทำไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ เลยฉันยังคงจมอยู่กับวังวนเก่าๆ ที่ดิ้นเท่าไหร่ก็ดิ้นไม่หลุด บางเวลาจิตสำนึกก็บอกให้รู้ว่าฉันกำลังทำในสิ่งที่ผิด บางเวลาฉันรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองจนกระทั่งฉันเริ่มคิดได้และตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ชั้นอยากมีความรักแบบนี้จริงๆ หรือ?” “ชั้นคิดจริงๆ หรือว่าแฟนของเค้าจะไม่รู้เรื่องของเราสองสามคน?”
พอดีกับที่ช่วงนั้นฉันได้เริ่มรู้จักกับผู้ชายอีกคน ฉันคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไรที่จะลองศึกษาดูใจกับผู้ชายคนใหม่ ฉันมีสิทธิ์ที่จะคุยหรือคบกับใครก็ได้เพราะเค้ากับฉันต่างก็ไม่เคยเรียกกันว่า “แฟน” ด้วยซ้ำ และในใจลึกๆ ฉันยังคงรู้สึกผิดกับเพื่อนของตัวเองอยู่ (เกือบ) ตลอดเวลาเพียงแต่ฉันยอมให้ความหน้ามืดตามัวของตัวเองมาครอบงำ ดังนั้นฉันจึงบอกเลิกกับเขาอย่างจริงจังโดยให้เหตุผลว่า “เค้าไม่เคยเลิกกับอีกฝ่าย และไม่สามารถเลือกใครได้ ฉันเองก็จะไม่ยอมทนเป็นที่สองแบบนี้อีกต่อไป” หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย…..ประมาณ 10 ปีต่อมาเค้ากับเพื่อนของฉันก็แต่งงานกัน
บทเรียนที่ได้ : ทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีด้วยกันทั้งนั้น เมื่อใดที่เราหลอกตัวเองเรายิ่งสร้างปัญหา แต่ถ้าเรากล้ายอมรับความจริงเราจะพบทางออกเสมอ
20-06-2021